เครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจน เทคโนโลยีล้ำสมัยจากไทยเพื่ออุตสาหกรรมที่ยั่งยืน

ปัจจุบันพลังงานสะอาดได้รับความสนใจมากขึ้นทั่วโลก และก๊าซไฮโดรเจนถือเป็นพลังงานทางเลือกที่มีศักยภาพสูง ด้วยคุณสมบัติที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมและสามารถนำไปใช้ได้ในหลากหลายอุตสาหกรรม เครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจนจึงกลายเป็นเทคโนโลยีที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อเป็นนวัตกรรมที่ถูกคิดค้นและผลิตในประเทศไทย ซึ่งได้รับสิทธิบัตรรับรองคุณภาพและประสิทธิภาพในการทำงาน

ข้อดีของเครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจน

  1. ช่วยลดต้นทุนพลังงาน เครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจนสามารถใช้วัตถุดิบจากน้ำและพลังงานไฟฟ้าเพียงเล็กน้อยเพื่อผลิตก๊าซไฮโดรเจน ทำให้สามารถลดต้นทุนเชื้อเพลิงในกระบวนการผลิตได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  2. เป็นพลังงานสะอาดและปลอดภัย ก๊าซไฮโดรเจนที่ได้จากกระบวนการนี้ไม่มีสิ่งเจือปนและไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศ ลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และช่วยลดภาวะโลกร้อน ทำให้เป็นพลังงานที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม
  3. ประสิทธิภาพสูงรองรับการใช้งานหลากหลายอุตสาหกรรม เครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจนสามารถนำไปใช้ในอุตสาหกรรมที่หลากหลาย โดยเฉพาะอุตสาหกรรมอัญมณีและเครื่องประดับซึ่งต้องการเทคโนโลยีเชื่อมที่แม่นยำและสะอาด ก๊าซไฮโดรเจนช่วยให้กระบวนการเชื่อมโลหะมีคุณภาพสูง ลดการเกิดรอยไหม้ และเพิ่มความแข็งแรงของชิ้นงาน นอกจากนี้ยังสามารถใช้ในอุตสาหกรรมเหล็ก การเชื่อมโลหะ และอุตสาหกรรมพลังงานทดแทน ทำให้เกิดความคุ้มค่าทางเศรษฐกิจ
  4. ออกแบบให้ใช้งานง่ายและบำรุงรักษาน้อย เครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจนที่พัฒนาโดยนักวิจัยไทยมีการออกแบบที่คำนึงถึงผู้ใช้งานจริง มีระบบควบคุมอัตโนมัติที่ช่วยให้การใช้งานสะดวกยิ่งขึ้น และยังลดความจำเป็นในการบำรุงรักษาบ่อยครั้ง
  5. ช่วยเพิ่มความมั่นคงทางพลังงานให้กับประเทศ ด้วยการผลิตก๊าซไฮโดรเจนภายในประเทศลดการพึ่งพาพลังงานนำเข้า ทำให้ประเทศไทยมีแหล่งพลังงานสะอาดเป็นของตนเองเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจ

ข้อดีของการผลิตในประเทศไทย และการได้รับสิทธิบัตร

  1. นวัตกรรมไทยต้นทุนต่ำกว่า การนำเข้าเครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจนที่ผลิตในไทยมีต้นทุนการผลิตที่ต่ำกว่าการนำเข้าทำให้ภาคอุตสาหกรรมสามารถเข้าถึงเทคโนโลยีนี้ได้ง่ายขึ้น โดยไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายสูงในการนำเข้าจากต่างประเทศ
  2. ได้รับการจดสิทธิบัตร ยืนยันคุณภาพและมาตรฐานระดับสากล การที่เครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจนได้รับสิทธิบัตร หมายถึง การผ่านการตรวจสอบมาตรฐานและประสิทธิภาพการทำงานซึ่งช่วยสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้ใช้งานในภาคอุตสาหกรรม และเป็นหลักประกันว่าผลิตภัณฑ์มีคุณภาพเทียบเท่าหรือเหนือกว่ามาตรฐานสากล
  3. ส่งเสริมการพัฒนาเทคโนโลยีภายในประเทศ การผลิตเครื่องไฮโดรเจนภายในประเทศช่วยส่งเสริมให้เกิดการพัฒนาองค์ความรู้และบุคลากรด้านเทคโนโลยีพลังงาน ทำให้ประเทศไทยสามารถก้าวสู่การเป็นผู้นำด้านเทคโนโลยีพลังงานสะอาดในระดับภูมิภาค
  4. กระตุ้นเศรษฐกิจและสร้างงานในประเทศ นอกจากช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานแล้วการพัฒนาและผลิตเครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจนยังช่วยสร้างงานให้กับแรงงานไทย และเพิ่มโอกาสให้กับอุตสาหกรรมด้านพลังงานทดแทนในประเทศ

โดยสรุป เครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจนเป็นเทคโนโลยีที่มีบทบาทสำคัญในการพัฒนาอุตสาหกรรมและการใช้พลังงานสะอาด การที่ประเทศไทยสามารถคิดค้นและพัฒนาเครื่องผลิตก๊าซไฮโดรเจนจนได้รับสิทธิบัตรเป็นสิ่งที่แสดงถึงศักยภาพของนักวิจัยและอุตสาหกรรมไทย เทคโนโลยีนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนด้านพลังงานและส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด แต่ยังช่วยสร้างความมั่นคงด้านพลังงานและเสริมสร้างเศรษฐกิจของประเทศอีกด้วย

ไฮโดรเจนกับมาตรฐาน RJC: นวัตกรรมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน

ไฮโดรเจนกับมาตรฐาน RJC: นวัตกรรมขับเคลื่อนอุตสาหกรรมสู่ความยั่งยืน

Hydrogen and RJC Standards: Innovation Driving the Industry Towards Sustainability

ปี 2025 เป็นช่วงเวลาสำคัญของเศรษฐกิจไฮโดรเจนและมาตรฐานความยั่งยืนในอุตสาหกรรมเครื่องประดับภายใต้สภาเครื่องประดับที่รับผิดชอบ (RJC) ทั้งสองภาคส่วนกำลังเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ โดยได้รับแรงผลักดันจากเป้าหมายความยั่งยืนระดับโลก ความก้าวหน้าทางเทคโนโลยี และความมุ่งมั่นของอุตสาหกรรมในการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม

ไฮโดรเจนพลังงานสะอาด กุญแจแห่งการลดก๊าซเรือนกระจกสู่อนาคตไร้คาร์บอน

ไฮโดรเจนเป็นพลังงานที่ถูกใช้งานในอุตสาหกรรมหนักมาอย่างยาวนาน เช่น การผลิตแอมโมเนีย การกลั่นน้ำมัน และการสังเคราะห์เมทานอล อย่างไรก็ตามในปัจจุบันบทบาทของไฮโดรเจนกำลังขยายตัวเข้าสู่ภาคอุตสาหกรรมที่ให้ความสำคัญกับความยั่งยืนและการลดคาร์บอน รวมถึงอุตสาหกรรมเครื่องประดับที่อยู่ภายใต้มาตรฐานของสภาเครื่องประดับที่รับผิดชอบ (Responsible Jewellery Council – RJC)

การใช้งานไฮโดรเจนในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ

อุตสาหกรรมเครื่องประดับมีห่วงโซ่อุปทานที่ซับซ้อน ตั้งแต่การทำเหมือง การผลิต การแปรรูป และการขนส่ง ไฮโดรเจนสามารถเข้ามามีบทบาทสำคัญในหลายขั้นตอนเพื่อช่วยลดคาร์บอนและเสริมสร้างความยั่งยืน

  1. การสกัดและการทำเหมืองอย่างยั่งยืน
    • กระบวนการทำเหมืองแร่ เช่น การขุดทองและอัญมณี มักใช้พลังงานจากเชื้อเพลิงฟอสซิล ไฮโดรเจนสะอาดสามารถเป็นพลังงานทางเลือกให้กับเครื่องจักรทำเหมือง ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก
  2. กระบวนการแปรรูปโลหะมีค่า
    • ไฮโดรเจนกำลังถูกพัฒนาให้ใช้แทนเชื้อเพลิงฟอสซิลในการถลุงโลหะ เช่น แพลตตินัม ทองคำ และเงิน ซึ่งช่วยลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนในอุตสาหกรรมโลหะมีค่า
  3. การผลิตและการออกแบบเครื่องประดับ
    • โรงงานผลิตเครื่องประดับสามารถใช้ไฮโดรเจนเป็นพลังงานสะอาดแทนก๊าซธรรมชาติหรือถ่านหินในกระบวนการเชื่อมและการขึ้นรูปโลหะ
  4. การจัดเก็บพลังงานและการขนส่ง
    • ไฮโดรเจนสามารถนำมาใช้ในระบบโลจิสติกส์ เช่น การขนส่งวัตถุดิบและผลิตภัณฑ์เครื่องประดับผ่าน ยานพาหนะที่ใช้เซลล์เชื้อเพลิงไฮโดรเจน (Fuel Cell Vehicles – FCVs) ช่วยลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกจากกระบวนการขนส่ง

ศักยภาพของไฮโดรเจนต่อมาตรฐาน RJC

สภาเครื่องประดับที่รับผิดชอบ (RJC) กำลังเพิ่มมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อมและความยั่งยืนให้เข้มงวดมากขึ้น ไฮโดรเจนสามารถช่วยให้บริษัทที่เป็นสมาชิกของ RJC ปฏิบัติตามแนวทางเหล่านี้ได้ดีขึ้นโดย

  1. ลดการพึ่งพาเชื้อเพลิงฟอสซิลในการสกัดและแปรรูปโลหะ
  2. สนับสนุนเป้าหมาย Net-Zero Carbon ของอุตสาหกรรมเครื่องประดับ
  3. เพิ่มโอกาสทางการตลาดให้กับแบรนด์ที่ต้องการใช้พลังงานสะอาด

แนวโน้มในอนาคตของไฮโดรเจนและมาตรฐาน RJC สู่ความยั่งยืน

ความต้องการใช้พลังงานไฮโดรเจนคาดว่าจะเพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดถึง 5 เท่า ภายในปี 2050 โดยมีแรงขับเคลื่อนจากเทคโนโลยีไฮโดรเจนสีเขียว และนโยบายสนับสนุนด้านสิ่งแวดล้อม เช่น European Green Deal ซึ่งมุ่งเป้าไปที่การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและเร่งการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจคาร์บอนต่ำ

การใช้ไฮโดรเจนไม่ได้เป็นเพียงแค่กลยุทธ์ในการลดผลกระทบด้านสิ่งแวดล้อม แต่ยังเป็นตัวเร่งการเติบโตของเศรษฐกิจโลกผ่านนวัตกรรมและโครงสร้างพื้นฐานใหม่ ๆ ที่รองรับพลังงานสะอาด

การยกระดับมาตรฐาน RJC ก้าวสู่เครื่องประดับที่มีจริยธรรมและยั่งยืน

ในขณะที่อุตสาหกรรมพลังงานกำลังเปลี่ยนแปลงอุตสาหกรรมเครื่องประดับก็ปรับตัวเช่นกัน สภาเครื่องประดับที่รับผิดชอบ (Responsible Jewellery Council – RJC) ได้ปรับปรุงหลักจรรยาบรรณ (Code of Practices – COP) และมาตรฐานห่วงโซ่ความรับผิดชอบ (Chain of Custody – COC) เพื่อให้สอดคล้องกับแนวโน้มความยั่งยืนและจริยธรรมระดับสากล

การปรับปรุงนี้ส่งผลให้บริษัทเครื่องประดับต้องดำเนินธุรกิจอย่างรับผิดชอบมากขึ้นตั้งแต่การทำเหมืองแร่ไปจนถึงการค้าปลีก

จุดเด่นของมาตรฐานใหม่ของ RJC

1. ผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมโดยข้อกำหนดใหม่ของ RJC ครอบคลุมเรื่อง

  • การลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก – บริษัทต้องหันมาใช้พลังงานสะอาดและลดคาร์บอนฟุตพรินต์
  • การจัดการของเสีย – ส่งเสริมการนำโลหะมีค่ามารีไซเคิล และลดการใช้สารเคมีอันตราย
  • การอนุรักษ์ความหลากหลายทางชีวภาพ – ควบคุมการทำเหมืองเพื่อป้องกันการทำลายระบบนิเวศ

2. สิทธิมนุษยชนและความเท่าเทียมทางสังคม มาตรฐานใหม่เน้นเรื่อง

  • ความหลากหลายและความครอบคลุม (Diversity, Equity, Inclusion – DEI) ในสถานที่ทำงาน
  • แรงงานที่เป็นธรรม – ป้องกันการใช้แรงงานเด็กและแรงงานบังคับ
  • สุขภาพและความปลอดภัยของชุมชน – รับรองว่าสภาพแวดล้อมการทำงานของพนักงานปลอดภัย

3. ความโปร่งใสของห่วงโซ่อุปทาน ข้อกำหนดเข้มงวดขึ้นเพื่อให้มั่นใจว่า

  • แหล่งที่มาของโลหะมีค่ามีความโปร่งใส และไม่มาจากพื้นที่ที่มีความขัดแย้ง
  • สามารถตรวจสอบย้อนกลับวัตถุดิบ ได้ตลอดทั้งห่วงโซ่อุปทาน
  • แบรนด์ต้องเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะ เพื่อเพิ่มความไว้วางใจจากผู้บริโภค

4. ระยะเวลาการเปลี่ยนผ่านสู่มาตรฐานใหม่ 

  • บริษัทที่เป็นสมาชิกของ RJC มีเวลาถึงมกราคม 2026 ในการปฏิบัติตามข้อกำหนดใหม่ โดยจะมีการฝึกอบรมและแนวทางปฏิบัติตลอดปี 2025

ผลกระทบต่ออุตสาหกรรมเครื่องประดับ

สร้างความไว้วางใจให้กับผู้บริโภค

  • แบรนด์ที่ได้รับการรับรองจาก RJC จะสามารถยืนยันได้ว่า เครื่องประดับของตนมาจากแหล่งที่โปร่งใสและมีจริยธรรม

ช่วยลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและชื่อเสียง

  • การปฏิบัติตามมาตรฐานใหม่จะช่วยให้บริษัทเครื่องประดับ ลดความเสี่ยงด้านกฎหมายและภาพลักษณ์ ซึ่งอาจเกิดจากการใช้ทรัพยากรจากแหล่งที่ไม่โปร่งใส

สนับสนุนเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs)

  • มาตรฐานของ RJC เชื่อมโยงกับ เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืนขององค์การสหประชาชาติ (SDGs) เช่น การดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม (SDG 8) และการรับมือกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ (SDG 13)

เพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของธุรกิจ

  • แบรนด์เครื่องประดับที่ได้รับการรับรองจาก RJC จะสามารถเข้าถึงตลาดระดับพรีเมียม และดึงดูดผู้บริโภคที่ใส่ใจเรื่องความยั่งยืน

จุดเชื่อมโยงของเป้าหมายด้านความยั่งยืน

ในปี 2025 ไฮโดรเจนสะอาดกำลังเป็นเทรนด์สำคัญของโลกในการผลักดันความยั่งยืน โดยช่วยลดการปล่อยคาร์บอนในอุตสาหกรรมพลังงานและการผลิต ในขณะเดียวกันอุตสาหกรรมเครื่องประดับก็กำลังมุ่งเน้นไปที่การจัดหาอย่างมีจริยธรรมและการดูแลสิ่งแวดล้อมตามมาตรฐาน RJC ซึ่งช่วยให้กระบวนการผลิตมีความโปร่งใสมากขึ้น

ไฮโดรเจนกับมาตรฐาน RJC จึงมีเป้าหมายร่วมกัน คือ ลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสร้างอุตสาหกรรมที่รับผิดชอบต่อสังคม ความร่วมมือระหว่างอุตสาหกรรมต่าง ๆ จะเป็นกุญแจสำคัญในการขับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงไปสู่อนาคตที่ยั่งยืน และกลายเป็นมาตรฐานใหม่ ให้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ทั่วโลก แสดงให้เห็นว่านวัตกรรมและความรับผิดชอบทางสังคมสามารถอยู่ร่วมกันได้ และช่วยให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ยั่งยืน 

ปี 2025 ไฮโดรเจนสะอาดและมาตรฐาน RJC กำลังเป็นแรงขับเคลื่อนสำคัญสู่ความยั่งยืนในอุตสาหกรรมพลังงานและเครื่องประดับ โดยช่วยลดการปล่อยคาร์บอนและส่งเสริมการดำเนินธุรกิจอย่างมีจริยธรรม ไฮโดรเจนสามารถใช้ในกระบวนการผลิตโลหะมีค่า การขนส่ง และการจัดการพลังงาน ในขณะที่ RJC ยกระดับมาตรฐานด้านสิ่งแวดล้อม ความโปร่งใส และสิทธิมนุษยชน ความร่วมมือระหว่างภาคอุตสาหกรรมจะช่วยสร้างมาตรฐานใหม่ที่เป็นแบบอย่างให้กับธุรกิจอื่น ๆ ทั่วโลก เพื่อมุ่งสู่อนาคตที่ยั่งยืนและรับผิดชอบต่อสังคมอย่างแท้จริง

การใช้ระบบ X-Ray Fluorescence (XRF) ในการวิเคราะห์ทองคำ

การวิเคราะห์ทองด้วยระบบ X-Ray Fluorescence (XRF) เป็นกระบวนการที่ใช้ในการตรวจสอบความบริสุทธิ์และองค์ประกอบทางเคมีของทองคำ โดยอาศัยหลักการของการกระตุ้นอะตอมด้วยรังสีเอ็กซ์ ซึ่งจะทำให้เกิดการปลดปล่อยพลังงานในรูปของรังสีฟลูออเรสเซนซ์ที่มีความยาวคลื่นเฉพาะตัว ซึ่งสามารถนำมาวิเคราะห์องค์ประกอบและปริมาณของธาตุต่าง ๆ

ข้อดีของระบบ X-Ray Fluorescence (XRF)

1. มีความแม่นยำสูง XRF สามารถวิเคราะห์องค์ประกอบทางเคมีและความบริสุทธิ์ของทองคำได้อย่างแม่นยำมาก เนื่องจากเป็นการวัดค่าความยาวคลื่นของรังสีที่ปลดปล่อยออกมาจากแต่ละธาตุโดยตรง

2. การวิเคราะห์ที่รวดเร็ว กระบวนการวิเคราะห์ด้วย XRF ใช้เวลาเพียง 1 นาที ช่วยประหยัดเวลาและความสะดวกในการตรวจสอบทองคำ และโลหะผสมอื่น ๆ

3. ไม่ทำลายตัวอย่างชิ้นงาน XRF เป็นวิธีการวิเคราะห์แบบไม่ทำลาย ไม่ต้องนำตัวอย่างชิ้นงานมาละลายหรือทำปฏิกิริยาเคมี ทำให้ตัวอย่างชิ้นงานสามารถนำกลับมาใช้งานได้หลังการวิเคราะห์

4. สามารถตรวจจับและวิเคราะห์ครอบคลุมหลายธาตุทั้งธาตุหลักและธาตุเจือปน ช่วยให้ทราบองค์ประกอบอย่างครบถ้วน

5. ใช้ปริมาณตัวอย่างชิ้นงานเพียงเล็กน้อยในการวิเคราะห์ด้วย XRF เหมาะสำหรับงานที่มีตัวอย่างจำกัด

6. ใช้งานสะดวกมีขนาดกะทัดรัด สามารถนำไปใช้งานในพื้นที่ต่าง ๆ ได้ง่าย และการใช้งานก็ปลอดภัยหากมีการป้องกันอันตรายจากรังสีอย่างเหมาะสม

ข้อดีเหล่านี้ทำให้ระบบ XRF เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมในการวิเคราะห์ทองคำและโลหะผสมอื่น ๆในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ เพื่อตรวจสอบคุณภาพและช่วยป้องกันการสอดไส้ทองปลอมผสมโลหะปนมา

ESG คืออะไร? นิยามใหม่เพื่อความยั่งยืน แนวทางธุรกิจที่องค์กรต้องเรียนรู้และปรับตัว

ทำความเข้าใจปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล

ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คำว่า “ESG” ได้รับความนิยมอย่างมากในแวดวงการเงิน การลงทุน และการกำกับดูแลกิจการ ESG ย่อมาจาก Environmental (สิ่งแวดล้อม), Social (สังคม) และ Governance (ธรรมาภิบาล) และเป็นชุดเกณฑ์ที่นักลงทุนและผู้มีส่วนได้ส่วนเสียใช้ในการประเมินผลการดำเนินงานของบริษัทนอกเหนือจากตัวชี้วัดทางการเงินทั่วไป การทำความเข้าใจสิ่งที่ ESG ครอบคลุมและความสำคัญของมันต่อการดำเนินธุรกิจอย่างยั่งยืนมีความสำคัญสำหรับทั้งธุรกิจและนักลงทุน

3 ปัจจัยหลักของ ESG:

1. Environmental (E):

ด้านสิ่งแวดล้อม ปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อมของ ESG มุ่งเน้นไปที่วิธีการที่บริษัทจัดการผลกระทบของตนต่อโลกธรรมชาติ ซึ่งรวมถึงการพิจารณาเรื่องการปล่อยก๊าซคาร์บอน ประสิทธิภาพการใช้พลังงาน การจัดการของเสีย การใช้น้ำ และความเสี่ยงด้านสิ่งแวดล้อม บริษัทที่มีแนวปฏิบัติด้านสิ่งแวดล้อมที่ดีพยายามลดรอยเท้าทางนิเวศให้น้อยที่สุด นำแหล่งพลังงานหมุนเวียนมาใช้ และนำวิธีการผลิตที่ยั่งยืนมาปฏิบัติ

2. Social (S): 

ด้านสังคมของ ESG ประเมินว่าบริษัทมีปฏิสัมพันธ์กับพนักงาน ลูกค้า ชุมชน และผู้มีส่วนได้ส่วนเสียอื่นๆ อย่างไร ซึ่งรวมถึงปัจจัยต่างๆ เช่น แนวปฏิบัติด้านแรงงาน โครงการด้านความหลากหลายและการรวมกัน นโยบายด้านสิทธิมนุษยชน การมีส่วนร่วมกับชุมชน และความปลอดภัยของผลิตภัณฑ์ บริษัทที่มุ่งมั่นต่อความรับผิดชอบต่อสังคมให้ความสำคัญกับแนวปฏิบัติด้านแรงงานที่เป็นธรรม สนับสนุนความหลากหลายในแรงงาน ร่วมกิจกรรมการกุศล และมีส่วนร่วมอย่างแข็งขันในการส่งเสริมสวัสดิภาพของชุมชนที่บริษัทดำเนินธุรกิจอยู่

3.Governance (G): 

การกำกับดูแลกิจการ หรือ ธรรมาภิบาล หมายถึงโครงสร้างและกลไกการกำกับดูแลที่กำกับการดำเนินงานของบริษัท รวมถึงผู้นำ องค์ประกอบคณะกรรมการ การกำหนดค่าตอบแทนผู้บริหาร สิทธิของผู้ถือหุ้น และการปฏิบัติตามมาตรฐานจริยธรรมและกฎหมาย แนวปฏิบัติการกำกับดูแลกิจการที่ดีส่งเสริมความโปร่งใส ความรับผิดชอบ และความซื่อสัตย์ภายในองค์กร เพื่อให้แน่ใจว่าบริษัทดำเนินการเพื่อประโยชน์สูงสุดของผู้ถือหุ้นและผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย พร้อมทั้งลดความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมที่ไม่เหมาะสมหรือการประพฤติมิชอบของบริษัท

ความสำคัญของ ESG ในธุรกิจที่ยั่งยืน:

ความสำคัญของ ESG ในการดำเนินธุรกิจที่ยั่งยืนไม่สามารถกล่าวเกินจริงได้ ต่อไปนี้เป็นเหตุผลสำคัญหลายประการว่าทำไมการพิจารณา ESG จึงเป็นส่วนสำคัญต่อความสำเร็จทางธุรกิจในระยะยาว:

1. การจัดการความเสี่ยง: ปัจจัย ESG ช่วยให้บริษัทระบุและลดความเสี่ยงต่างๆ รวมถึงความรับผิดต่อสิ่งแวดล้อม ความเสียหายต่อชื่อเสียง ค่าปรับตามกฎระเบียบ และการหยุดชะงักของห่วงโซ่อุปทาน ด้วยการจัดการปัญหา ESG ในเชิงรุก ธุรกิจสามารถลดความเสี่ยงและเพิ่มความยืดหยุ่นในโลกที่ซับซ้อนและเชื่อมโยงถึงกันมากขึ้น

2. ผลการดำเนินงานทางการเงิน: การศึกษาจำนวนมากแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงบวกระหว่างผลการดำเนินงาน ESG ที่แข็งแกร่งและผลตอบแทนทางการเงิน บริษัทที่ให้ความสำคัญกับการพิจารณา ESG มักจะมีประสิทธิภาพเหนือกว่าบริษัทอื่นๆ ในระยะยาว โดยดึงดูดนักลงทุนที่ตระหนักถึงคุณค่าของแนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนในการขับเคลื่อนมูลค่าของผู้ถือหุ้นและลดความเสี่ยงในการลงทุน

3. การมีส่วนร่วมของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย: การนำหลักการ ESG มาใช้จะส่งเสริมความไว้วางใจและความน่าเชื่อถือในหมู่ผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย รวมถึงนักลงทุน ลูกค้า พนักงาน และหน่วยงานกำกับดูแล ด้วยการแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการดูแลรักษาสิ่งแวดล้อม ความรับผิดชอบต่อสังคม และการกำกับดูแลที่ดี บริษัทต่างๆ สามารถเพิ่มชื่อเสียงของแบรนด์ สร้างความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นยิ่งขึ้นกับผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย และได้รับความได้เปรียบทางการแข่งขันในตลาด

4. ความยั่งยืนในระยะยาว: การบูรณาการ ESG ส่งเสริมการนำแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่ยั่งยืนมาใช้ ซึ่งจำเป็นต่อความอยู่รอดและความยืดหยุ่นในระยะยาว ด้วยการปรับกลยุทธ์องค์กรให้สอดคล้องกับเป้าหมายด้านสิ่งแวดล้อมและสังคม บริษัทต่างๆ สามารถมีส่วนร่วมในการเปลี่ยนผ่านสู่เศรษฐกิจที่ยั่งยืนและเท่าเทียมกันมากขึ้น ในขณะเดียวกันก็ปกป้องโลกและปรับปรุงความเป็นอยู่ที่ดีของสังคม

โดยสรุป ปัจจัย ESG มีบทบาทสำคัญในการประเมินประสิทธิภาพโดยรวมและความยั่งยืนของบริษัท ด้วยการบูรณาการการพิจารณาด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแลเข้ากับกระบวนการตัดสินใจ ธุรกิจจะสามารถสร้างมูลค่าให้กับผู้ถือหุ้น ลดความเสี่ยง และมีส่วนช่วยให้ผู้มีส่วนได้ส่วนเสียทุกฝ่ายมีอนาคตที่ยั่งยืนและเจริญรุ่งเรืองยิ่งขึ้น การนำหลักการ ESG มาใช้ไม่เพียงแต่เป็นความจำเป็นทางศีลธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นความจำเป็นเชิงกลยุทธ์สำหรับธุรกิจที่ต้องการประสบความสำเร็จในโลกที่มีการแข่งขันสูงและใส่ใจต่อสังคมอีกด้วย

4 เสาหลักของความยั่งยืน (4 Pillars of Sustainability)

ในโลกธุรกิจที่เปลี่ยนแปลงรวดเร็วอย่างมากในยุคปัจจุบันแนวคิดเรื่องความยั่งยืนได้กลายเป็นมากกว่าคำพูดติดปากทั่ว ๆ ไป แต่กลายเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ ปรัชญา และความเชื่อใหม่ขององค์กร
การพัฒนาอย่างยั่งยืน คือ การพัฒนาที่สมดุลกันใน 4 เสาหลักของความยั่งยืน (4 Pillars of Sustainability) โดยแสดงให้เห็นถึงความสำคัญผ่านตัวอย่างแนวทางในการปฏิบัติที่ออกแบบมาสำหรับภาคธุรกิจ เสาหลักเหล่านี้ไม่เพียงแต่จะปูทางไปสู่โลกที่ยั่งยืนมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังเป็นแนวทางให้กับธุรกิจที่มุ่งมั่นสร้างผลกระทบเชิงบวกควบคู่ไปกับการสร้างความมั่นคงทางเศรษฐกิจอีกด้วย

  1. ความยั่งยืนด้านมนุษย์ (Human Sustainability)
    เป็นความรับผิดชอบต่อสังคมขององค์กร และการส่งเสริมสวัสดิการชุมชน โดยเน้นย้ำถึงความจำเป็นในการสร้างสังคมที่ทุกคนสามารถเข้าถึงความต้องการพื้นฐาน และเติบโตได้อย่างเต็มศักยภาพ
    Education Access การเข้าถึงการศึกษา: องค์กรสามารถมีบทบาทสำคัญในการส่งเสริมโอกาสทางการศึกษา เช่น การสนับสนุนทุนการศึกษาหรือร่วมมือกับสถาบันการศึกษา
    Safe Working Environment สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัย: การสร้า’สภาพแวดล้อมการทำงานที่ปลอดภัยและดีต่อสุขภาพ เป็นมากกว่าแค่การปฏิบัติตามกฎหมาย แต่ยังรวมถึงการส่งเสริมกฎความปลอดภัย สถานที่ทำงานที่เหมาะสม และสร้างวัฒนธรรมองค์กรที่ให้ความสำคัญกับความเป็นอยู่ที่ดีของพนักงาน
  2. ความยั่งยืนทางสังคม (Social Sustainability)
    เป็นการทำงานที่องค์กรมุ่งแก้ไขปัญหาความเหลื่อมล้ำทางสังคม ส่งเสริมคุณภาพความเป็นอยู่ที่ดีของชุมชนภายใน และภายนอกองค์กร การทำธุรกิจต้องเน้นการสร้างคุณค่า และลดผลกระทบต่อสังคม นั่นหมายถึงให้โอกาสในการทำงานที่มีคุณค่าแก่พนักงาน สนับสนุนความเท่าเทียม และทำงานร่วมกับชุมชนท้องถิ่น ธุรกิจยั่งยืนควรเป็นพลังที่สนับสนุนและสร้างโอกาสในสังคมที่หลากหลาย
    Community Development การพัฒนาชุมชน: ธุรกิจสามารถมีบทบาทสำคัญในการยกระดับชุมชนท้องถิ่น การมีส่วนร่วมในโครงการที่สนับสนุนสาธารณูปโภคในท้องถิ่น การศึกษา และบริการสาธารณะ ไม่เพียงแต่ส่งเสริมเจตจำนงที่ดีเท่านั้น แต่ยังช่วยเสริมสร้างความเข้มแข็งของโครงสร้างทางสังคมอีกด้วย
    Fair Trade Practices แนวทางปฏิบัติการค้าขายทำธุรกิจอย่างเป็นธรรม: การจัดซื้อที่มีจริยธรรมและการปฏิบัติการค้าอย่างเป็นธรรมมีความสำคัญอย่างยิ่ง ธุรกิจควรมีความโปร่งใส มีความเสมอภาค โดยให้ค่าจ้างและเงื่อนไขที่ยุติธรรมสำหรับพนักงานทุกคน
  3. ความยั่งยืนด้านเศรษฐกิจ (Economic Sustainability)
    คือการดำเนินธุรกิจที่ส่งเสริมการเติบโตทางเศรษฐกิจในระยะยาว โดยไม่ส่งผลกระทบต่อด้านสังคม สิ่งแวดล้อม และวัฒนธรรมในทางลบ ซึ่งส่วนสำคัญของการทำธุรกิจ คือการสร้างมูลค่า และกำไรอย่างยั่งยืนจะต้องทำไปพร้อมกับการรับผิดชอบทางสังคม นอกจากนี้การสนับสนุนธุรกิจท้องถิ่น การสร้างงาน และการส่งเสริมการพัฒนาทางเศรษฐกิจในระดับท้องถิ่นเป็นแนวทางปฏิบัติทางธุรกิจที่ยั่งยืน
    Sustainable Business Practices แนวปฏิบัติทางธุรกิจที่ยั่งยืน: การนำแนวปฏิบัติในการการลดของเสีย ปรับปรุงประสิทธิภาพการใช้พลังงาน และการใช้ทรัพยากรให้เกิดประโยชน์สูงสุด ไม่เพียงแต่ช่วยลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมเท่านั้น ยังช่วยลดต้นทุนและเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจ
    Investing in Renewable Energy การลงทุนในพลังงานหมุนเวียนทดแทน: การเปลี่ยนไปใช้พลังงานหมุนเวียน เช่น พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม หรือพลังงานน้ำ สามารถลดต้นทุนการดำเนินงานในระยะยาว พร้อมทั้งลดการพึ่งพาทรัพยากรที่ไม่สามารถทดแทนได้
    Long-Term Financial Planning การวางแผนการเงินระยะยาว: การบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับการวางแผนทางการเงิน หรือกลยุทธ์การลงทุน สามารถช่วยให้ธุรกิจเกิดความเสถียรภาพและการเติบโตในระยะยาว เตรียมพร้อมรับมือกับความท้าทายและโอกาสในอนาคต
  4. ความยั่งยืนด้านสิ่งแวดล้อม (Environmental Sustainability)
    ถือเป็นเสาหลักที่ได้รับการยอมรับมากที่สุด โดยมุ่งเน้นการอนุรักษ์ จัดการทรัพยากรธรรมชาติ และระบบนิเวศเพื่อประโยชน์ของคนรุ่นอนาคต การทำธุรกิจที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมต้องคำนึงถึงการใช้ทรัพยากรธรรมชาติ ลดการปล่อยมลพิษ และสร้างผลิตภัณฑ์หรือบริการที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมน้อยที่สุด การลงทุนในเทคโนโลยีที่สะอาด หรือใช้นโยบายการอนุรักษ์ทรัพยากรธรรมชาติเป็นส่วนสำคัญในการพัฒนาอย่างยั่งยืน
    Carbon Footprint Reduction การลดการปล่อยก๊าซคาร์บอน: ธุรกิจสามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ด้วยการใช้เครื่องใช้ไฟฟ้าที่ประหยัดพลังงาน วางแผนเส้นทางการขนส่งให้เหมาะสม และส่งเสริมการสื่อสารโทรคมนาคม
    Waste Management การจัดการของเสีย: การลด การใช้ซ้ำ และการนำกลับมาใช้ใหม่ เป็นกลยุทธ์สำคัญที่องค์กรสามารถนำไปใช้เพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งเป็นโมเดลเศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) โดยลดของเสียให้เหลือน้อยที่สุด
    ทั้งสี่เสาหลักแห่งความยั่งยืนเป็นกรอบการทำงานที่ครอบคลุมสำหรับธุรกิจต่าง ๆ ในการดำเนินธุรกิจอย่างมีความรับผิดชอบ การนำเสาหลักเหล่านี้ไปใช้ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ธุรกิจมีส่วนร่วมในการสร้างโลกที่ยั่งยืนมากขึ้นเท่านั้น แต่ยังช่วยให้ธุรกิจอยู่ในตำแหน่งที่ประสบความสำเร็จและยืดหยุ่นได้ในระยะยาว

5 ความสำคัญ Hydrogen พลังงานสะอาดแห่งอนาคต

ไฮโดรเจนเป็นแหล่งพลังงานสะอาดที่มีประสิทธิภาพ และไม่เป็นอันตรายต่อการใช้งาน ทำให้เป็นพลังงานทางเลือกที่จะมาทดแทนพลังงานรูปแบบเดิม ๆ ซึ่งพลังงานไฮโดรเจนเกิดจากการแยกโมเลกุลของน้ำออกเป็นไฮโดรเจน และออกซิเจน โดยเชื้อเพลิงที่นำมาใช้ในกระบวนการผลิตพลังงานไฮโดรเจนในปัจจุบันมาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน เช่น ชีวมวล พลังงานน้ำ และพลังงานลม

นอกจากนี้ไฮโดรเจนที่มาจากแหล่งพลังงานหมุนเวียนสามารถผลิตได้โดยไม่ทำลายทรัพยากรธรรมชาติ หรือก่อให้เกิดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก การใช้ไฮโดรเจนยังเป็นส่วนหนึ่งของเป้าหมายในการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ ที่มีความสำคัญเป็นอย่างมากเนื่องจากมีศักยภาพสูง และเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ความสำคัญของ Hydrogen มีดังนี้

1. เป็นเชื้อเพลิงที่สะอาด ไม่ก่อให้เกิดมลพิษทางอากาศเมื่อเผาไหม้

ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก (GHG) : เชื้อเพลิงไฮโดรเจนที่เกิดจากการแยกโมเลกุลของน้ำออกเป็นไฮโดรเจน และออกซิเจน ไม่มีการปล่อยก๊าซเรือนกระจก ช่วยลดผลกระทบต่อการเปลี่ยนแปลงสภาพอากาศที่เกิดขึ้นจากก๊าซเรือนกระจก

เชื้อเพลิงสำหรับการเผาไหม้ และให้ความร้อน : ประโยชน์ของการนำไฮโดรเจนมาใช้งาน คือ ใช้เป็นเชื้อเพลิงในการเผาไหม้ และให้ความร้อนออกมา โดยทำปฎิกริยาทางเคมีแล้วเกิดกระแสไฟฟ้า ซึ่งสามารถนำไปใช้ได้ทั้งในการผลิตกระแสไฟฟ้า อุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ต่าง ๆ และกระบวนการผลิตจิวเวลรี่

2. ไฮโดรเจนสามารถผลิตพลังงานได้สูงกว่า ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน น้ำมันปิโตรเลียม

ประโยชน์ทางด้านสิ่งแวดล้อม : การใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงสามารถช่วยลดการใช้ก๊าซธรรมชาติ ถ่านหิน และน้ำมันปิโตรเลียมที่มีผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งช่วยลดปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและมลพิษทางอากาศ

มีความมั่นคงทางพลังงาน : การใช้ไฮโดรเจนเป็นเชื้อเพลิงมีความมั่นคงกว่าเชื้อเพลิงฟอสซิลหรือพลังงานที่ใช้แล้วหมดไป เนื่องจากไฮโดรเจนผลิตจากแหล่งพลังงานหมุนเวียน

3. นําไปใช้งานได้หลากหลาย เช่น เป็นเชื้อเพลิงในยานยนต์ และใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า

การนำไปใช้ในนวัตกรรมยานยนต์ : รถพลังงานไฮโดรเจนจะทำงานผ่านเซลล์เชื้อเพลิงที่มีการเติมไฮโดรเจนเข้าไป โดยไฮโดรเจนนี้ถูกเปลี่ยนมาใช้ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในการขับเคลื่อนเครื่องยนต์ และจะปล่อยของเสียออกมาเพียงเฉพาะไอน้ำเท่านั้น นับเป็นเทคโนโลยียานยนต์สมัยใหม่ที่จะช่วยลดค่าใช้จ่ายในการเติมน้ำมัน อีกทั้งยังเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม ประหยัดเรื่องของค่าบำรุงรักษา และเสียงเครื่องยนต์เงียบเหมือนกับรถ EV

ใช้ผลิตกระแสไฟฟ้า : ไฮโดรเจนถูกนำมาใช้ประโยชน์ในการผลิตกระแสไฟฟ้าในเซลล์เชื้อเพลิง ซึ่งจะ เกิดปฏิกิริยารีดักชันและออกซิเดชันในสารละลายอิเล็กโทรไลต์ทำให้เกิดเป็นกระแสไฟฟ้าขึ้น โดยถือเป็นการผลิตที่สะอาด เนื่องจากผลิตภัณฑ์ที่ได้จากการผลิตคือ น้ำ และไม่มีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์

4. การจัดเก็บ และการขนส่งที่ง่าย

จัดเก็บได้ง่าย : เทคโนโลยีการจัดเก็บไฮโดรเจนได้รับการพัฒนาขึ้นมาให้มีวิธีการจัดเก็บที่มีประสิทธิภาพ และปลอดภัยมากขึ้น

ขนส่งได้ง่าย : มีการพัฒนาระบบการขนส่งไฮโดรเจนมากขึ้นสามารถขนส่งได้ตามทางท่อส่ง หรือผ่านทางยานพาหนะที่เหมาะสม การนำไฮโดรเจนมาใช้ในกระบวนการผลิตในอุตสาหกรรมต่าง ๆ ยังสามารถนำเข้าระบบขนส่ง และจัดส่งได้อย่างปลอดภัย

การนำเข้าและการส่งออกได้สะดวก : ไฮโดรเจนสามารถนำเข้าและส่งออกได้โดยใช้วิธีการทางการค้าทั่วไป นั่นหมายถึงสามารถนำเข้าไฮโดรเจนจากแหล่งผลิตต่าง ๆ และส่งออกไปยังที่ต่าง ๆ โดยไม่มีความซับซ้อนในกระบวนการ

5. เป็นพลังงานที่สามารถนํากลับมาใช้ใหม่ได้

ลดการใช้งานของแหล่งพลังงานที่ไม่คงที่ : การนำพลังงานกลับมาใช้ใหม่ช่วยลดการใช้งานของแหล่งพลังงานที่ไม่คงที่ การที่พลังงานถูกนำกลับมาใช้ใหม่นั้นทำให้ไม่ต้องพึ่งพาแหล่งพลังงานใหม่

ลดขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ : ช่วยลดปริมาณขยะที่ถูกสร้างขึ้นจากการที่พลังงานถูกทิ้งไป ซึ่งลดขยะที่ไม่สามารถย่อยสลายได้ในธรรมชาติ

โดยสรุปไฮโดรเจนเป็นแหล่งพลังงานที่หลากหลายและยั่งยืน มีความสามารถในการจัดเก็บ การขนส่งได้อย่างง่ายดาย ควบคู่ไปกับการใช้งานที่หลากหลาย เช่น ใช้เป็นเชื้อเพลิงสะอาดในยานยนต์ ใช้ในการผลิตไฟฟ้า ความสามารถในการรีไซเคิล ลดการพึ่งพาทรัพยากรที่ไม่หมุนเวียน และลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมให้เหลือน้อยที่สุด ทำให้ไฮโดรเจนกลายเป็นพลังงานแห่งอนาคตที่สะอาด และยั่งยืนมากขึ้นทั่วโลก

พลังงานสีเขียว Green Energy 2024


พลังงานสีเขียว (Green Energy) คือ พลังงานหรือแหล่งที่มาของพลังงาน ซึ่งมาจากวัตถุดิบ
ที่ไม่ใช่เชื้อเพลิงฟอสซิล ได้แก่ พลังงานแสงอาทิตย์ พลังงานลม พลังงานน้ำ พลังงานชีวมวล เป็นต้น จัดเป็น
พลังงานสะอาดที่ไม่ก่อให้เกิดมลพิษต่อสิ่งแวดล้อมและช่วยลดภาวะโลกร้อน รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพ
การใช้พลังงานโดยใช้พลังงานให้น้อยลงต่อหน่วยผลิตที่เพิ่มขึ้น และลดการสูญเสียในกระบวนการผลิต
ทั้งหมด ปัจจุบันการผลิตไฟฟ้าจากเชื้อเพลิงฟอสซิล (Fossil) ได้แก่ น้ำมันปิโตรเลียม ถ่านหิน ก๊าซธรรมชาติ
เป็นต้น การเผาไหม้ของเชื้อเพลิงก่อให้เกิดก๊าซพิษที่เป็นมลภาวะต่อสิ่งแวดล้อมและเกิดภาวะโลกร้อน เช่น
ฝุ่นละออง คาร์บอนมอนอกไซด์ คาร์บอนไดออกไซด์ เป็นต้น
อ้างอิง : “พลังงานสีเขียว” พลังงานทางเลือกใหม่สำหรับอาคารเขียวที่เป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อม

ทำไมจึงควรหันมาใช้พลังงานสีเขียว
เป็นเป้าหมายในการลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ และตรงกับมาตรฐานการจัดการสิ่งแวดล้อมรวมถึงมาตรฐานสากลสำหรับการจัดการสิ่งแวดล้อมขององค์กรให้เกิดผล
อุตสาหกรรมในปัจจุบันหันมาใช้ไฮโดรเจนสีเขียวที่ผลิตโดยใช้พลังงานทดแทน เนื่องจากเป็นเชื้อเพลิงสะอาดที่มีศักยภาพสำหรับการใช้งานต่าง ๆ รวมถึงการขนส่ง และกระบวนการทางอุตสาหกรรมถือว่าเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม
แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการรักษาสภาพแวดล้อม เพื่อลดการเพิ่มขึ้นของอุณหภูมิโลก บรรเทาการเปลี่ยนแปลงของสภาพภูมิอากาศ และส่งเสริมแนวทางปฏิบัติด้านพลังงานที่ยั่งยืนในอนาคต
เป็นการส่งเสริมอุตสาหกรรมต่าง ๆ ให้หันมาใช้พลังงานทดแทน และใช้พลังงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ
มีความความปลอดภัย และลดการผันผวนที่เกิดขึ้นกับแหล่งพลังงานธรรมชาติ

นอกจากนี้ยังมีการวางนโยบายพลังงานสีเขียวของไทยในการผลักดันและสนับสนุนการผลิตพลังงานจากเชื้อเพลิงสะอาดควบคู่กับการผลิตพลังงานจากโรงไฟฟ้าฐาน และการนำเทคโนโลยีนวัตกรรมใหม่ ๆ เข้ามาช่วย เช่น ไฮโดรเจน การกักเก็บคาร์บอน (Carbon Capture and Storage หรือ CCS) ระบบสมาร์ทกริด (Smart Grid) โดยมีการกำหนดอัตราค่าบริการไฟฟ้าสีเขียว (Utility Green Tariff) ที่ กกพ.จะกำหนดต่อไป ผู้ผลิตที่เลือกใช้ไฟฟ้าสีเขียวจะได้ใบรับรองการผลิตไฟฟ้าพลังงานหมุนเวียน (Renewable Energy Certificate: REC) ซึ่งแสดงการใช้ไฟฟ้าจากพลังงานหมุนเวียนเป็นรายชั่วโมงตามมาตรฐานสากล สามารถนำไปใช้ “ยืนยัน” ต่อประเทศปลายทางว่าผู้ผลิตได้ใช้ไฟฟ้าสีเขียวจริง ใบรับรอง REC จึงเปรียบเสมือน “ตัวช่วย” สำหรับผู้ผลิตในการปฏิบัติตามเงื่อนไข CBAM หรือข้อกีดกันทางการค้าอื่นๆ ที่เกี่ยวกับเป้าหมายการลดก๊าซเรือนกระจกระดับสากล
อ้างอิง : กระทรวงพลังงาน “นโยบายและทิศทางพลังงานสีเขียวของประเทศไทย”