ความยั่งยืน คือ การพัฒนาและการรักษาสิ่งที่มีอยู่ในปัจจุบันให้สามารถดำรงสภาพอยู่ได้ต่อไปในอนาคตโดยไม่ให้เกิดผลกระทบต่อคนรุ่นหลังภายภาคหน้า โดยเกี่ยวข้องในด้านสิ่งแวดล้อม ด้านความเสมอภาคทางสังคม และด้านเศรษฐกิจ หลายธุรกิจจำนวนมากจึงให้ความสำคัญกับความยั่งยืน เนื่องจากปัจจุบันจะสังเกตได้ว่าสิ่งแวดล้อมมีความแปรปรวนสูง ผิดฤดูกาลมากขึ้น อีกทั้งน้ำทะเลสูงขึ้นทุก ๆ ปี ผลพวงทั้งหมดนี้มาจากผลกระทบจากมนุษย์ซึ่งมาจากพฤติกรรมการใช้ชีวิตประจำวัน การใช้พลังงานไฟฟ้า และธุรกิจจากภาคอุตสาหกรรมต่าง ๆ ส่งผลให้ความต้องการใช้พลังงานของโลกสูงขึ้น เกิดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) มากขึ้น
เพื่อให้สามารถลดผลกระทบที่เกิดขึ้นจึงได้มีการจัดประชุม COP (Conference of the Parties) เป็นการประชุมสมัชชาประเทศภาคีอนุสัญญาสหประชาชาติว่าด้วยการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ เพื่อหารือประชุมตั้งเป้าหมายใหญ่อย่าง “Net Zero” ที่ตั้งเป้าไว้ในปี 2065 ช่วยกันลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกไม่ให้พุ่งสูงเกินไป แม้จะดูเป็นเป้าหมายระยะยาวแต่เป็นเป้าหมายที่ท้าทายอย่างมาก และจากการประชุม COP ประเทศไทยได้ประกาศว่า “จะเป็นประเทศมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกเป็นศูนย์ (Net Zero GHG Emission) ในปี 2065” ขณะเดียวกัน “จะมุ่งสู่การเป็นประเทศที่มีความเป็นกลางทางคาร์บอน (Carbon Neutrality) ในปี 2050” ตามการดำเนินแผนพลังงานแห่งชาติ ทั้งนี้โครงการด้านความยั่งยืนยังสามารถช่วยให้องค์กรประสบความสำเร็จและช่วยเพิ่มประสิทธิภาพทางธุรกิจต่อไป
อ้างอิง : https://www.setsocialimpact.com/Article/Detail/77643
ธุรกิจจำนวนมากให้ความสำคัญกับความยั่งยืนด้วยเหตุผลหลายประการดังนี้
1. Consumer and Investor Demand: ผู้บริโภคจำนวนมากมีความยินดีที่จะจ่ายมากขึ้นสำหรับผลิตภัณฑ์ หรือบริการที่มีความยั่งยืน และนักลงทุนของบริษัทต่าง ๆ ให้ความสำคัญแนวคิดที่เกี่ยวกับการพัฒนาขององค์กรอย่างยั่งยืน โดยไม่หวังผลกำไรเพียงอย่างเดียว แต่คำนึงถึง 3 ปัจจัยหลัก คือ ด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และธรรมาภิบาล (Environment, Social, Governance: ESG) ธุรกิจที่มี ESG ที่ดีจะสะท้อนให้เห็นถึงความสามารถในการแข่งขัน ศักยภาพของการเติบโตในระยะยาว และทัศนคติของคน Gen Z ที่มีต่อความยั่งยืนสามารถมีอิทธิพลต่อคนรุ่นเก่าได้เช่นกัน เนื่องจากพวกเขากลายเป็นกำลังผู้บริโภคที่สำคัญ ความต้องการผลิตภัณฑ์ที่ยั่งยืน และหลักปฏิบัติด้านจริยธรรมอาจมีอิทธิพลต่อแนวโน้ม ความคาดหวังของตลาดในวงกว้าง
2. Cost Reduction: การใช้แนวทางปฏิบัติที่ยั่งยืนสามารถนำไปสู่การลดต้นทุนในระยะยาว เนื่องจากบริษัทสามารถประหยัดพลังงาน ทรัพยากร และการจัดการของเสีย
3. Brands Reputation and Competitive Advantage: ชื่อเสียงของแบรนด์ถือเป็นตัวชี้วัดว่าแบรนด์ของคุณมีคนพูดถึงในเชิงบวกที่มากขึ้น สามารถเพิ่มการจดจำแบรนด์ได้ ทำให้ธุรกิจมีแนวโน้มที่จะดึงดูดลูกค้าใหม่และรักษาลูกค้าเดิมไว้ได้มากกว่า เนื่องจากถูกมองว่ามีความรับผิดชอบต่อสังคมและมีความก้าวหน้าในอนาคต
4. Regulatory Compliance: เนื่องจากกฎระเบียบด้านความยั่งยืนมีความเข้มงวดมากขึ้น ธุรกิจจึงจำเป็นต้องปรับตัวเพื่อหลีกเลี่ยงค่าปรับและบทลงโทษ
5. Social Responsibility: ความรับผิดชอบขององค์กรต่อสังคม และสิ่งแวดล้อม (รวมถึงผลิตภัณฑ์ บริการ และกระบวนการ) ที่จำเป็นต้องปฏิบัติอย่างโปร่งใส และมีจริยธรรม ดังนี้
- ส่งเสริมการพัฒนาอย่างยั่งยืน รวมถึงสุขภาพ และสวัสดิการของสังคม
- คำนึงถึงความคาดหวังของผู้มีส่วนได้ส่วนเสีย
- เป็นไปตามกฎหมาย และสอดคล้องกับการปฏิบัติตามแนวทางสากล
- บูรณาการทั่วทั้งองค์กร และนำไปใช้กับองค์กรอื่นที่มีความสัมพันธ์กัน
โดยสรุป ความยั่งยืนถือเป็นรากฐานสำคัญในภูมิทัศน์ธุรกิจร่วมสมัย ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนกระบวนทัศน์ไปสู่แนวทางปฏิบัติที่รับผิดชอบซึ่งสอดคล้องกับการพิจารณาทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคม คำถามที่ว่า “ความยั่งยืนคืออะไร” ก้าวข้ามเพียงสิ่งแวดล้อมนิยม ครอบคลุมแนวทางแบบองค์รวมที่ธุรกิจนำมาใช้เพื่อความยั่งยืนและเจริญเติบโตในระยะยาว เหตุผลที่อยู่เบื้องหลังความกังวลอย่างกว้างขวางเกี่ยวกับความยั่งยืนในหมู่ธุรกิจนั้นมีหลายแง่มุม จากจุดยืนเชิงกลยุทธ์ มันสอดคล้องกับความจำเป็นเพื่อความอยู่รอดในระยะยาว โดยนำเสนอความยืดหยุ่นเมื่อเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดที่พัฒนาและภูมิทัศน์ด้านกฎระเบียบ การประหยัดต้นทุนผ่านการใช้ทรัพยากรอย่างมีประสิทธิภาพ การจัดการความเสี่ยงในโลกที่ตระหนักถึงปัญหาสิ่งแวดล้อมและสังคมมากขึ้น และการปฏิบัติตามกฎระเบียบที่เข้มงวด ตอกย้ำถึงข้อได้เปรียบทางธุรกิจเชิงปฏิบัติมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ธุรกิจต่างๆ ตระหนักดีว่าความยั่งยืนไม่เพียงแต่เป็นความจำเป็นทางศีลธรรมเท่านั้น แต่ยังเป็นการตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคและนักลงทุนที่เปลี่ยนแปลงไปอีกด้วย
การเลือกอย่างมีสติของลูกค้าควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับปัจจัยด้านสิ่งแวดล้อม สังคม และการกำกับดูแล (ESG) ที่เพิ่มมากขึ้นในการตัดสินใจลงทุน ได้ยกระดับความยั่งยืนให้เป็นองค์ประกอบหลักของความรับผิดชอบขององค์กรด้วยการให้ความสำคัญกับความยั่งยืนธุรกิจต่างๆ ส่งสัญญาณถึงความมุ่งมั่นต่อค่านิยมที่สะท้อนจากฐานผู้บริโภคที่ชาญฉลาดและใส่ใจต่อสังคม ยกระดับชื่อเสียงของแบรนด์ และส่งเสริมความภักดี ท้ายที่สุดแล้ว วิถีสู่ความยั่งยืนไม่ได้เป็นเพียงกระแสเท่านั้น มันแสดงถึงนิยามใหม่ของความสำเร็จในการดำเนินธุรกิจ เป็นความมุ่งมั่นต่อผลประโยชน์สามประการที่คำนึงถึงผู้คน โลก และผลกำไร ในขณะที่ธุรกิจต่างๆ ต้องเผชิญกับปัจจัยทางเศรษฐกิจ สิ่งแวดล้อม และสังคมที่ซับซ้อน การเปิดรับความยั่งยืนไม่เพียงแต่เป็นทางเลือกเชิงกลยุทธ์เท่านั้น แต่ยังเป็นส่วนสนับสนุนสำคัญสู่อนาคตระดับโลกที่ยั่งยืนและเท่าเทียมกันมากขึ้น